ต้องบอกเลยว่าประหยัดงบแต่ครบเครื่องนะ หากใครที่ต้องการรถยนต์แต่มีงบไม่เกิน 6 แสนบาท แต่ต้องการรถใหม่ไว้ขับใช้งานในเมืองเป็นหลัก คันไม่ต้องใหญ่หรือไฮเทคจนดูแลยาก เน้นคล่องตัว ขับง่าย ไปไหนมาไหนสะดวก รวมถึงค่าบำรุงรักษายังสบายกระเป๋า วันนี้เราได้คัดรถยนต์ 10 ยี่ห้อราคาไม่เกิน 600,000 บาท ในปี 2023 เพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับการตัดสินใจว่าคันไหนเหมาะสมกับคุณ จะมีรุ่นไหนกันบ้างไปดูกัน
1. Toyota Yaris Ativ
- รุ่น Sport ราคา 549,000 บาท
- รุ่น Smart ราคา 594,000 บาท
รถสไตล์ตัวถังซีดานออกแนวสปอร์ต ภายในกว้างขวาง อีกทั้งยังเป็นแบรนด์กระแสหลัก ความน่าเชื่อถือไม่น่ากังวลมาก ติดตั้งเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน และมีถุงลมนิรภัย 6 จุด มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ ขนาดความจุ 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
2. Honda City Hatchback
รุ่น S+ ราคา 599,000 บาท
รถแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ที่มาพร้อมความอเนกประสงค์ด้วยเบาะหลังแบบ Ultra Seat สามารถพับปรับรูปแบบเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ 4 รูปแบบ และเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร เทอร์โบ มีกำลังแรงสุดในกลุ่มอีโคคาร์ แต่ราคาเริ่มต้นค่อนข้างสูง ซึ่งในงบไม่เกิน 6 แสน จะได้เพียงรุ่นเริ่มต้น S+ ไม่มีเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส ให้ถุงลมนิรภัยติดตั้งมา 4 จุด มีกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตร ที่ช่วง 2,000-4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
3. Nissan Almera
- รุ่น E ราคา 515,000 บาท
- รุ่น EL ราคา 565,000 บาท
รถอีโคคาร์ซีดาน 4 ประตู มีห้องโดยสารกว้างขวาง แต่สำหรับงบ 6 แสนบาท จะมีให้เลือกได้ 2 รุ่น คือ E และ EL โดยรุ่น E จะมีเพียงอุปกรณ์พื้นฐานเท่าที่จำเป็น ในขณะที่รุ่น EL ได้กุญแจ Keyless ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรก และล้ออัลลอย เป็นต้น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินแบบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ที่ช่วง 2,400-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
4. Suzuki Swift
- รุ่น GL ราคา 567,000 บาท
- รุ่น GL Plus ราคา 572,000 บาท
อีโคคาร์ตัวถังแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ด้วยดีไซน์น่ารัก ไม่ฉูดฉาด จึงไม่ล้าสมัยง่าย ในงบ 6 แสนบาทจะมีให้เลือกได้ 2 รุ่นย่อย คือ GL และ GL Plus ซึ่งทั้ง 2 รุ่นติดตั้งอุปกรณ์ในระดับพื้นฐาน เช่น เครื่องเล่น CD MP3, ล้อเหล็กพร้อมฝาครอบ พร้อมถุงลมนิรภัย 2 จุด และรุ่น GL Plus ได้ชุดแต่งภายนอกเพิ่มจาก GL เท่านั้น แต่ก็มาพร้อมครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
5. Mazda 2 Hatchback
- รุ่น E Sports ราคา 546,000 บาท
- รุ่น C Sports ราคา 599,000 บาท
อีโคคาร์สำหรับคนที่ชอบดีไซน์ดูดีพรีเมียม แต่ในงบ 6 แสนบาทจะเลือกได้ 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น E Sports กับ C Sports ซึ่งการตกแต่งอาจไม่ได้พรีเมียมเหมือนรุ่นท็อป โดยอุปกรณ์ก็จะเป็นแบบพื้นฐานตามสไตล์รุ่นเริ่มต้น โดยรุ่น C Sports จะได้อุปกรณ์มากกว่า เช่น ไฟวิ่งกลางวัน กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า การตกแต่งภายในดีขึ้น ได้แอร์อัตโนมัติ เบาะหลังแยกพับ 60:40 เครื่องเสียงแบบจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน กุญแจ Keyless และกล้องมองหลัง เป็นต้น
6. Mitsubishi Mirage
- รุ่น Active MT ราคา 474,000 บาท
- รุ่น Active CVT ราคา 509,000 บาท
- รุ่น Smart CVT ราคา 579,000 บาท
รถอีโคคาร์ตัวถังแฮตช์แบ็ก 5 ประตู มีอุปกรณ์ให้มาสมเหตุสมผล โดยมีระบบหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า ระบบตัดกำลังเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ แต่ถุงลมนิรภัยยังมีให้ 2 จุด เครื่องยนต์เบนซินแบบ 3 สูบ ขนาดความจุ 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังมีทั้งแบบธรรมดา (MT) และเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร
7. Suzuki Celerio
- รุ่น GA MT ราคา 338,000 บาท
- รุ่น GL CVT ราคา 416,000 บาท
- รุ่น GX CVT ราคา 442,000 บาท
อีโคคาร์ขนาดเล็กสุดในไทย เน้นขับง่าย จอดสะดวก ใกล้เคียงกับความเป็นเคคาร์ ดูแลรักษาง่าย และไม่มีอะไรให้จุกจิกกวนใจมาก เพราะไม่ซับซ้อน เนื่องจากอุปกรณ์ไฮเทคแทบไม่มี เหมาะเป็นรถใช้งานในเมืองแบบไม่ต้องการฟีเจอร์หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาก ด้วยครื่องยนต์เบนซินแบบ 3 สูบ ขนาดความจุ 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 68 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 90 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังมีทั้งแบบธรรมดา 5 สปีด (MT) อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 21.3 กิโลเมตร/ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ CVT อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 20.8 กิโลเมตร/ลิตร
8. Fomm One
Fomm One 2022 มีให้เลือกรุ่นเดียว ราคา 481,500 บาท
ไมโครคาร์ไฟฟ้าขนาดจิ๋วสำหรับขับในเมืองไป-กลับในระยะทางสั้น ๆ ไม่เกิน 160 กิโลเมตร ประหยัดเพราะไม่ต้องเติมน้ำมัน หาที่จอดง่ายเนื่องจากคันเล็กมาก และไม่เปลืองพื้นที่บนถนน แต่วิ่งได้ไม่เร็วนัก ช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Direct Drive คือมอเตอร์ 2 ตัวอยู่ในล้อคู่หน้า ให้กำลังรวมกันสูงสุด 13.4 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 166 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (WLTP) ความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง
9. VOLT City EV
- รุ่น For - Two Classic (3 ประตู) ราคา 335,000 บาท
- รุ่น For - Two TOP (3 ประตู) ราคา 365,000 บาท
- รุ่น For - Four Classic (5 ประตู) ราคา 390,000 บาท
- รุ่น For - Four Top (5 ประตู) ราคา 425,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้าจีนขนาดเล็กตัวถังแฮตช์แบ็ก ที่มีให้เลือกทั้งแบบ 3 และ 5 ประตู ระยะทางวิ่งสั้น 165-200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (NEDC) ดีไซน์น่ารัก โทนสีพาสเทล เหมาะสำหรับวิ่งใกล้ ๆ ในเมือง เป็นรถจีนที่ติดตั้งพวงมาลัยขวามาให้ มีถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับ โดยรุ่น 3 ประตู นั่งได้ 2 คน และรุ่น 5 ประตู นั่งได้ 4 คน
10. Neta V
Neta V มีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว ราคา 549,000 บาท
ถครอสโอเวอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กจากจีนราคาต่ำสุดในไทย นั่งได้ 5 คน ระยะทางวิ่งสูงสุด 384 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (NEDC) ติดตั้งหน้าจอมัลติฟังก์ชันขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน ส่วนระบบความปลอดภัยติดตั้งถุงลมนิรภัย 2 จุด มีกล้องมองหลัง ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบควบคุมความเร็ว เป็นต้น ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่เพลาหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลังสูงสุด 95 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร จ่ายไฟด้วยแบตเตอรี่ขนาดความจุ 38.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 384 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC
สำหรับรถยนต์ราคาไม่เกิน 6 แสนบาทนั้น สิ่งที่ต้องยอมรับเป็นอย่างแรกเลย คือ เรื่องของอุปกรณ์มาตรฐานที่อาจไม่มากมายนัก ทำให้รายการอุปกรณ์ค่อนข้างจำกัด มีเฉพาะที่จำเป็น หรือเพียงพอกับการใช้งาน รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดในหลายรุ่นเท่านั้น ดังนั้น การเลือกซื้อรถยนต์ราคาไม่เกิน 6 แสน จึงควรพิจารณาว่าสิ่งไหนคือความต้องการหลัก เพื่อใช้เป็นข้อเปรียบเทียบว่ารถรุ่นไหนเหมาะกับเรามากที่สุด