เพจเฟซบุ๊กสภาองค์กรของผู้บริโภคได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคที่ประสบปัญหาถูกบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ฟ้องร้องเรื่องผิดสัญญาเงินกู้สินเชื่อจำนำโฉนด แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่าเอกสารสัญญาที่บริษัทฯ นำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาลมีความผิดปกติหลายประการ ดังนี้ 1) วันที่ไม่ตรงกับวันที่กู้ 2) บริษัทที่ยื่นฟ้องเป็นคนละบริษัทที่ผู้เสียหายยื่นจดจำนอง กล่าวคือ ผู้เสียหายขอกู้เงินกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด แต่กลับถูกบริษัท เงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องร้อง 3) ลายเซ็นในเอกสารสัญญาเป็นลายเซ็นปลอม และ 4) ดอกเบี้ยที่ระบุในสัญญาไม่ตรงกับเอกสารจดจำนอง
สำหรับผู้บริโภคที่ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน อยากให้เข้ามาร้องเรียนที่สภาผู้บริโภค เนื่องจากปัจจุบัน สภาผู้บริโภคได้ประสานงานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบสำนวนส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ หากคดีดังกล่าวถูกรับเป็นคดีพิเศษก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนที่มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นในชั้นศาล สำหรับเอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่ 1) ใบเสร็จรับเงินที่ชำระดอกเบี้ย 2) เอกสารสัญญาการกู้ยืมเงิน (ถ้ามี) และ3) ภาพบทสนทนากับพนักงานของบริษัทฯ
ธรรมณัฐ แก้วบุญส่ง ผู้บริโภคที่เป็นผู้ชนะคดีดังกล่าว เล่าถึงความรู้สึว่า หลังจากได้รับหมายศาล รู้สึกมืดแปดด้านและคิดว่าไม่สามารถสู้กับบริษัทได้แน่นอน ทั้งนี้ สาเหตุที่ยอมเซ็นสัญญาเปล่าเพราะจำเป็นต้องใช้เงิน ประกอบกับเห็นว่าเป็นบริษัทใหญ่จึงไว้วางใจ
ผู้เสียหายเล่าต่ออีกว่า หลังจากโดนฟ้องระยะหนึ่ง เห็นข่าวที่สภาผู้บริโภคออกมาเปิดกลโกงของบริษัทจดจำนองบ้าน ซึ่งตรงกับสิ่งที่กำลังเผชิญทั้งหมด จึงเข้าไปปรึกษาและเจ้าหน้าที่สภาผู้บริโภคให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี รวมทั้งเข้าไปเป็นพยานในชั้นศาลและนำข้อมูลเองร้องเรียนต่าง ๆ มาช่วยยืนยัน สำหรับเรื่องเอกสารปลอม ได้มีการส่งเอกสารไปตรวจสอบที่หน่วยพิสูจน์หลักฐาน ทำให้ท้ายที่สุดศาลวินิจฉัยว่าบริษัทฯ ใช้เอกสารปลอม และพิพากษายกฟ้อง
อยากฝากถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หากพบว่าหน่วยงานที่อยู่ในการกำกับดูแลทำผิด ควรมีบทลงโทษอย่างถึงที่สุด เช่น กรณีบริษัทศรีสวัสดิ์ ควรยกเลิกใบอนญาตประกอบธุรกิจ เนื่องจากมีพฤติการณ์ที่ไม่สุจริต ประกอบธุรกิจอย่างไม่ซื่อสัตย์ และเอาเปรียบประชาชน หากหน่วยงานที่มีอำนาจไม่จัดการขั้นเด็ดขาดก็จะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ