วันที่ 17 ต.ค.66 รายงานว่า สถานการณ์แรงงานชาวจังหวัดบุรีรัมย์ กว่า 1,100 คน ที่ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ต้องการกลับบ้านและจะไม่ขอกลับไปอีก เพราะสถานการณ์สงครามที่อิสราเอล น่ากลัวกว่าที่คิด แต่สามารถเดินทางกลับมาแล้วได้เพียงไม่กี่คน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากญาติแรงงานว่าอยากให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือแรงงานไทยกลับโดยเร็ว
แต่ยังสวนทางกับความคิดของ นายสนธยา เมืองสุข อายุ 30 ปี ชาว ต.หนองโสน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ หนึ่งในแรงงานไทยในอิสราเอล ซึ่งได้ติดต่อมาหาญาติที่บุรีรัมย์ ระบุจะไม่ขอเดินทางกลับ เพราะเพิ่งไปทำงานได้เพียง 3 เดือน
นายสนธยา ได้วิดีโอคอลจากอิสราเอลมาหา น.ส.พจนีย์ แก่นกล้า อายุ 30 ปี ภรรยาที่ จ.บุรีรัมย์ ว่าตอนนี้แรงงานไทยทำงานด้วยกัน 2 คน มีหน้าที่เก็บผักและอาโวคาโด ยอมรับว่าอันตรายเพราะสถานที่ทำงานไม่มีบังเกอร์ มองเห็นจุดยิงจรวดชัดเจน ได้ยินเสียงระเบิดเป็นระยะ เคยมีระเบิดมาตกอยู่ห่างจากที่ทำงานเพียง 100 เมตรเท่านั้น
ตนกับเพื่อนแรงงานไทยจำเป็นต้องออกไปทำงานท่ามกลางเสียงระเบิด ส่วนนายจ้างจะหลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย ทิ้งให้ตนกับเพื่อนคนไทยทำงานตามลำพัง ก่อนหน้านี้ได้ลงชื่อขอกลับเมืองไทยไปแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับ เพราะยังมีหนี้สินอยู่ที่เมืองไทย และเกรงว่าหากกลับไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก เพราะอยู่ไม่ครบสัญญา 5 ปี 3 เดือน
น.ส.พจนีย์ และ น.ส.ดวงดาว เมืองสุข อายุ 34 ปี ภรรยาและพี่สาวของ นายสนธยา พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จริงๆ แล้ว นายสนธยา อยากกลับเมืองไทย แต่เป็นห่วงหนี้สินที่กู้ยืมไปเป็นค่าเดินทาง พยายามให้เดินทางกลับแต่ไม่ยอม
ภรรยา นายสนธยา กล่าวด้วยว่า กู้ยืมเงินเป็นค่าเดินทางกว่า 120,000 บาท ตอนนี้เหลือหนี้อีกประมาณ 90,000 บาท ซึ่งคาดว่าสามีอาจจะเสี่ยงอยู่เพราะหวังว่า หลังจากสงครามสงบ แรงงานน่าจะขาด และเป็นโอกาสที่จะได้ค่าแรงมากกว่าที่เป็นอยู่
ในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมา สามีมีรายได้เดือนละ 50,000 – 60,000 บาท ส่งเงินมาบ้านเดือนละ 40,000 บาท หากเปรียบเทียบกันกับเมืองไทย ถือว่าไปทำงานต่างประเทศได้เงินดีกว่า และถ้าอยู่ครบสัญญา 5 ปี เชื่อว่าครอบครัวน่าจะพอลืมตาอ้าปากได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการติดสินใจของสามีว่าจะอยู่ต่อหรือกลับไทย