นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในวันนี้ต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากคณะทำงานยังไม่ได้ข้อสรุปรายละเอียดบางส่วนได้ พร้อมกับยอมรับว่า การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะจะต้องทำระบบบล็อกเชนขึ้นมาใหม่ ผ่าน Super App ที่สามารถจัดเก็บข้อมูล Big Data ในการจัดทำสวัสดิการทุกด้านของรัฐ จึงต้องใช้เวลาทดสอบระบบ เพื่อให้ระบบบล็อกเชน มีความปลอดภัย มีเสถียรภาพ มีระบบป้องกันแฮกเกอร์เข้ามาล้วงข้อมูลของรัฐได้ ส่วนกำหนดโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชน 1 ก.พ. 67 ตามที่นายกรัฐมนตรีเคยระบุไว้ก่อนหน้านี้
จะต้องนำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาถึงเหตุผลการเลื่อนเวลาออกไป เมื่อระบบพร้อมถึงจะเปิดให้ประชาชนยืนยันตัวตนผ่านระบบ KYC ตามแบงก์รัฐ ซึ่งที่ผ่านมามีประชาชนยืนยันตัวตนเพื่อรับบริการสวัสดิการต่างๆ กับรัฐไปแล้ว 40 ล้านคน ยังเหลืออีก 10 ล้านคน ต้องยืนยันตัวตนเมื่อต้องการให้เข้าระบบอีกครั้ง เพื่อกดยืนยันรับสิทธิ์ร่วมโครงการ อาจต้องกำหนดกรอบเวลาให้ยืนยันตัวตนกับแบงก์รัฐอีกครั้ง เบื้องต้นมีเป้าหมาย 5.48 ล้านคน ต้องใช้เงินประมาณ 5.48 แสนล้านบาท
การจัดทำ Super App จะทยอยพัฒนาเป็นระยะ โดยคาดว่าจะเริ่มโอนเงินได้ราวไตรมาสแรกปี 67 การใช้เงินจะไม่ยุ่งยาก เพราะใช้จ่ายผ่านสมาร์ทโฟน ด้วยการสแกน QR Code เพื่อซื้อสินค้าเหมือนที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และเงินงบประมาณปี 67 ออกสู่ระบบล่าช้า อีกทั้งกระทรวงคลังยืนยันจะไม่มีระบบการลงทะเบียน แต่จะใช้การกดรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเหมือนเคยดำเนินมาตรการรัฐช่วงที่ผ่านมา ส่วนแหล่งที่มาของเงินดิจิทัล 10,000 บาท ยังไม่ได้ข้อสรุป ดังนั้น จะต้องหารือเพิ่มเติมหลายรอบ เมื่อได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว จะเสนอคณะกรรมกรรมการชุดใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน