เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมสำนักข่าวดังรายงานว่านายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2566 ทุกรายการปรับตัวดีขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม อยู่ระดับ 56.7 จาก 55.7 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และดัชนีสูงสุดรอบ 40 เดือนนับจากเดือนมีนาคม 2563 นายธนวรรธน์กล่าวถึงการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
ในวันที่ 13 กรกฎาคม ถือเป็นตัวชี้วัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากแรงกดดันทางการเมือง ภาคเอกชนและผู้ประกอบการต่างจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะหากไม่มีรัฐบาลหรือจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า การใช้งบประมาณของภาครัฐจะถูกเลื่อนออกไป และมีผลต่อทิศทางการลงทุน เบื้องต้นประเมินว่าหากการจัดตั้งรัฐบาลยังอยู่ในเดือนสิงหาคม-กันยายน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจคงไม่รุนแรง เพราะถือว่าในกรอบเวลา สามารถเดินหน้างบลงทุนต่างๆ ได้ ทำให้เอกชนวางแผนลงทุนได้ต่อ แต่หากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าไปถึงเดือนตุลาคม การใช้งบประมาณจะถูกเลื่อนออกไปช่วงไตรมาส 2/2567 จะส่งผลกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
หากไม่มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ขึ้นอยู่กับเหตุผลของรัฐสภาว่าเป็นเหตุผลใด อาทิ จำเป็นต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ หรือหากกรณีเลวร้ายนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลทั้งหมดจะนำไปสู่ก็ความรุนแรง การเกิดชุมนุมประท้วงว่าจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ หากไม่มีภาพความรุนแรง จนเกิดความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2566 หรือตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป มีโอกาสนักท่องเที่ยวจะหายไป เหลือแค่ 1 ล้านคนต่อเดือน จาก 2-3 ล้านคนต่อเดือน หากการชุมนุมยืดเยื้อกว่า 6 เดือน นักท่องเที่ยวจะหายไปครึ่งหนึ่ง หรือรายได้เฉลี่ยต่อหัวหายไปรวม 10 ล้านคน หรือสร้างความเสียหายทำให้สูญเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจกว่า 2-5 แสนล้านบาท และกระทบจีดีพีประมาณ 1% ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมชะงักลง แต่เชื่อว่าเหตุความรุนแรงจุดนั้นจะไม่เกิดขึ้น” นายธนวรรธน์กล่าว ด้านนายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า อยากให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความสงบตามกระบวนการของกฎหมาย อย่าปลุกระดมชุมนุมประท้วง
“ทางคุณพิธาและพรรคก้าวไกล ควรจะใช้โอกาสนี้ทำให้ดีที่สุดตามระบบขั้นตอนต่างๆ หากครั้งแรกไม่ผ่าน ควรเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลหรือคุณพิธาทำความเข้าใจกับ ส.ว.ในครั้งที่สอง อยากให้ 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ แม้จะเปลี่ยนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมาเป็นพรรคเพื่อไทย เพราะคะแนนเสียงครั้งนี้ สะท้อนว่าคนต้องการเปลี่ยนแปลง อยากให้ทั้ง 8 พรรคอดทนให้มาก เพราะ ส.ว.ใกล้จะหมดวาระแล้ว” นายอิสระกล่าว และว่า สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแง่ของการชุมนุม
คงจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้น จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เพราะไทยเผชิญวิกฤตการเมืองมาเป็นระยะ ปัจจัยสำคัญส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยคือวิกฤตเศรษฐกิจโลก สงครามรัสเซียกับยูเครนยังยืดเยื้อ รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลหากล่าช้า จะกระทบการใช้งบประมาณปี 2567 ไม่ทันเดือนตุลาคม 2566 ต้องชะลอออกไป การลงทุนจะชะลอออกไปด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีรัฐบาลตัดสินใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขอให้ฝ่ายการเมืองยึดหลักประชาธิปไตย ไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้ต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่
นายวรวุฒิ กาญจนกูล กรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านและประธานบริหารบริษัท ดับบลิวเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ไม่ผ่านการโหวตรอบแรกในการประชุมรัฐสภา ถือว่าไม่เหนือความคาดหมายที่ ส.ว.จะงดออกเสียง
ดังนั้น การโหวตครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ทั้ง 8 พรรคการเมืองที่เซ็นเอ็มโอยูจะตั้งรัฐบาลด้วยกันต้องกลับไปคุยกันใหม่ ส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯคนใหม่เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างชาติที่กำลังเฝ้าดูอยู่และเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหากตั้งรัฐบาลช้ากระทบต่อการลงทุนและงบประมาณปี 2567 ล่าช้าออก ทำให้ไม่มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ผมว่าการโหวตรอบสองไม่น่าจะเสนอชื่อคุณพิธากลับมาอีกแล้ว เพราะดูจากท่าทีในรอบแรกแล้วคงจะผ่านด่าน ส.ว.ยาก ยกเว้นว่าสามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้เพิ่ม ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามครรลอง ทางพรรคก้าวไกลเองต้องให้พรรคอันดับสองคือพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯเข้ามาในรอบสองนี้
ซึ่งมี 3 คนคือ คุณแพทองธาร (ชินวัตร) และคุณเศรษฐา (ทวีสิน) และคุณชัยเกษม (นิติสิริ) ซึ่งตอนนี้ที่มองว่ามีโอกาสมากสุดคือคุณเศรษฐา ซึ่งเป็นนักธุรกิจมีความรู้ความสามารถ ส่วนคุณชัยเกษมสุขภาพไม่ค่อยดี ขณะที่คุณแพทองธารอายุยังน้อย”นายวรวุฒิกล่าว